Robert H.Waterman JR
Robert H.Waterman JR -- โรเบิร์ต เอช วอเทอร์แมน จูเนียร์ เป็นชาวอเมริกัน จบกการศึกษา
ปริญญาตรีgeophysicsที่ Colorado School of Mines ปริญญาโท MBA ที่ Stanford University
การทำงาน Waterman โด่งดังมาจากผลงานวิจัยที่เอามาเขียนเป็นหนังสือ
In Search
of Excellence, เป็นนักพูด,
เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ McKinsey
& Company เป็นเวลา21 ปี และมีบริษัทที่ปรึกษาของตนเองชื่อ The Waterman Group, Inc.
Waterman ใช้คำว่า
Adhocracy กับองค์กร
ที่นับเป็นจุดเน้น
คำว่าองค์กรที่ถือหลักการ adhocracy จะเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างเรียบง่าย
ไม่สลับซับซ้อน
แนวคิด
ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
องค์กรต้องสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้
สิ่งสำคัญที่องค์กรปัจจุบันต้องการมากคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการใช้เทคนิคต่างๆในการแก้ปัญหาในหนังสือ Adhocracy: the Power to
Change ท่านได้ใช้ทักษะจากการเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการมากว่า
25 ปี
นำเสนอวิธีการในการที่จะสร้างองค์กรแบบ adhocracy และผลักดันให้มันทำงานได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างทีมงานและการแยกกระจายหน่วยงานที่ใหญ่และซับซ้อนออกเป็นหน่วยย่อย
สร้างวัฒนธรรมให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมชาติ
โ ธมัส เจ ปีเตอร์ส (Thomas J. Peters) และโรเบิร์ต เอช วอเตอร์แมน จูเนียร์(Robert H.Waterman,Jr.) ในการค้นหาความเป็นเลิศ
ในช่วงต้นปี 1977 พบว่า
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานนอกจากกลยุทธ์และโครงสร้าง
ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งหมด 7 ปัจจัยได้แก่
โครงสร้าง(structure)
กลยุทธ์(strategy)
บุคลากร(staff)
สไตล์การจัดการ(style)
ระบบ(systems)
ค่านิยมร่วม(shared
value)
ทักษะ(skills)
ซึ่งตัวแปร 2 ตัวแรกคือโครงสร้างและกลยุทธ์
เปรียบเสมือนเป็นส่วนที่เรียกว่า ฮาร์ดแวร์
ซึ่งผู้จัดการในอดีตให้ความสนใจ ส่วนตัวแปรอีก 5 ตัวที่ค้นพบใหม่ในอดีตผู้จัดการมักไม่ให้ความสนใจมากนัก
ซึ่งเปรียบเสมือนซอฟท์แวร์ แมคคินซีย์ เรียกตัวแปรเหล่านี้ว่ากรอบ 7 – S
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้
- องค์กรธุรกิจที่ได้ชื่อเสียง
และการยอมรับ ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ดีจากสังคม
- หุ้นส่วนหรือนักลงทุน
ได้รับผลประโยชน์จากราคาหุ้นที่ไม่ถูกกระทบ(กรณีที่บริษัทถูกประท้วง) หรือได้รับการจัดลำดับใน Dow Jones Sustainability
Index (เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา)
- พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร เกิดความสามัคคี และการสร้าง (Team Building) ขวัญ
กำลังใจและความภาคภูมิใจในองค์กร และมีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น
- ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
และความภักดีในสินค้า และที่สำคัญมีงานวิจัยจำนวนมากที่สอบถามผู้บริโภค
โดยส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่แสดงออกชัดเจนในการทำดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม
หากสินค้ามีคุณภาพใกล้เคียงกัน
รวบรวมโดย : พีระวัฒน์ ชาติพฤกษพันธุ์
รวบรวมโดย : พีระวัฒน์ ชาติพฤกษพันธุ์
ซึ่งตัวแปร 2 ตัวแรกคือโครงสร้างและกลยุทธ์
เปรียบเสมือนเป็นส่วนที่เรียกว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น